บทความพลังงาน

คาดสถานการณ์น้ำมันตลาดโลกปี 48 สูงขึ้นต่อเนื่อง 
[ ตอบกระทู้นี้เพิ่ม คลิกที่นี่ ]

คาดสถานการณ์น้ำมันตลาดโลกปี 48 สูงขึ้นต่อเนื่อง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดสถานการณ์น้ำมันในตลาดโลกปี 2548 สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากกองทุนเก็งกำไร รวมทั้งปัญหาการเมืองในประเทศส่งออกน้ำมันและการก่อการร้ายข้ามชาติ

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มีความเห็นว่าสถานการณ์ตลาดน้ำมันโลกในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของปี 2547 ต่อเนื่องไปถึงปี 2548 ยังคงมีความผันผวนสูง โดยคาดว่าราคาน้ำมันจะยังทรงตัวในระดับที่สูงต่อไป ถึงแม้ว่าผู้ผลิตจะพยายามเพิ่มปริมาณการผลิตแล้วก็ตามแต่ก็ยังมีความกังวลว่าจะไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยในปี 2548 อัตราความต้องการใช้น้ำมันของโลกจะอยู่ที่ระดับ 83.81 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นในอัตราใกล้เคียงปี 2547 ในระดับของการขยายตัวที่ร้อยละ 3 - 3.5 เนื่องจากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะปรับความร้อนแรงลงจากปี 2547 ส่งผลให้ความต้องการน้ำมันมีปริมาณลดลงตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ความต้องการน้ำมันของจีนจะปรับตัวลดลงเพียงเล็กน้อยจากปี 2547 แต่ก็ยังทรงตัวในระดับที่สูง

ขณะเดียวกันก็ยังมีปัจจัยลบรุมเร้าที่ดันราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวได้แก่ กลุ่ม hedge funds หรือกองทุนเก็งกำไรที่ปั่นให้ราคาผันผวนขึ้นไปอีก รวมทั้งปัญหาการเมืองในประเทศส่งออกน้ำมัน เช่น เหตุการณ์สู้รบระหว่างทหารสหรัฐอเมริกากับกลุ่มชีอะห์ในอิรัก ความขัดแย้งเรื่องเชื้อชาติในไนจีเรียและความตรึงเครียดทางการเมืองในเวเนซุเอลา รวมทั้งภัยคุกคามจากกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติ เช่น การขู่ของกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติที่จะทำลายระบบสาธารณูปโภคทางน้ำมันในซาอุดีอาระเบีย เป็นต้น.

แนวทางประหยัดน้ำมัน

ราคาน้ำมันหากปล่อยลอยตัววันนี้ก็ต้องจ่ายถึง 20 บาทต่อลิตร วันนี้ มีแนวทางการประหยัดรายจ่ายค่าน้ำมันมาแนะนำ
แม้ว่าราคาน้ำมันดิบตลาดโลกล่าสุดจะลดลงเพราะสมาชิกกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกในนามโอเปกประกาศจะเพิ่มกำลังผลิต 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน และทางรัฐบาลยงคงยืนยันว่าวงเงินสำหรับตรึงราคาน้ำมันในประเทศต่อไป โดยอาจจะขยับราคาเบนซินขึ้นอีก แต่ดีเซลไม่ปรับขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะตรึงต่อไปหรือไม่ ผู้ที่ใช้รถก็ยังคงจ่ายเต็มเท่าเดิม เพียงแต่ยืดระยะเวลาการจ่ายออกไปเท่านั้น เพราะกองทุนน้ำมันที่เข้ามาตรึงก็มาจากการเก็บเงินของผู้ใช้น้ำมันนั่นเอง

วันนี้จึงมีแนวทางง่าย ๆมาแนะนำในเรื่องการประหยัดน้ำมันให้รับทราบ เช่น ต้องวางแผนก่อนเดินทาง เลือกทางที่ใกล้ที่สุด ใช้เวลาน้อยที่สุดแค่นี้ก็ประหยัดได้ทั้งน้ำมันและเวลา เพราะการที่รถติดอยู่กับที่นาน ครึ่งชั่วโมง สิ้นเปลืองน้ำมัน 750 ซี.ซี. หรือประมาณ 15 บาทเลยทีเดียว หากไปทางเดียวกันก็ควรจะไปคันเดียวกันหรือคาร์พูล เลิกเบิ้ล เลิกบิด เพราะการเร่งหรือเบิ้ลเครื่องโดยไม่จำเป็นครบ 10 ครั้ง จะสูญเสียน้ำมันถึง 50 ซีซี ก่อนออกเดินทางก็ควรตรวจเช็คยางรถยนต์ว่าตรงตามความต้องการของรถหรือไม่ควรตรวจเช็คความดันลมยางสัปดาห์ละ ครั้ง หากความดันลมยางต่ำกว่ามาตรฐานทุก 1 ปอนด์ จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 2% และ ไม่ควรลืมเป่าไส้กรอง เพราะถ้าไส้กรองอากาศไม่สะอาด จะทำสิ้นเปลืองน้ำมันวันละ 65 ซี.ซี. ไม่ขับรถเร็ว ไม่ขนของที่ไม่จำเป็น โดย การที่บรรทุก 10 กิโลกรัมเป็นระยะทาง 25 กิโลเมตร จะสิ้นเปลือง น้ำมัน 40 ซี.ซี. ที่สำคัญควรเช็คสภาพเครื่องยนต์ หรือTune-up ปีละ ครั้ง สามารถประหยัดน้ำมันได้ 10% คิดเป็นเงิน 250 บาทต่อเดือนต่อคัน หรือ 3,000 บาทต่อปี

และที่สำคัญในขณะนี้มีโครงการแก๊สโซฮอลล์หรือเอทานอลผสมเบนซินในปั๊มป์ของบางจากและปตท. ราคาถูกกว่า เบนซินออกเทน 95 ถึง 50 สตางค์ต่อลิตร และยังช่วยเกษตรกรให้มีรายได้เพิ่ม และลดการนำเข้าน้ำมันได้ด้วย.

เรื่องที่มักคาดไม่ถึงว่าเปลืองน้ำมัน

คนใช้รถใช้ถนนย่อมรู้ดีว่าเรากำลังตกอยู่ในสภาวะน้ำมันในตลาดโลกขึ้นราคา รัฐบาลออกมาตรึงราคาน้ำมัน สุดท้ายราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอีก ตามมาด้วยปัญหาสินค้าอื่น ๆ ขึ้นราคาตามน้ำมัน ประเทศไทยต้องใช้เงินประมาณ 3 แสนล้านบาทต่อปี เพื่อนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงที่เราใช้ ๆ กันอยู่ เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นแบบนี้ ใครก็ไม่เคยสนใจ ถือว่ามีเงินในกระเป๋าก็เติมน้ำมัน ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ณ วันนี้ต้องหันมาใส่ใจเรื่องการช่วยชาติประหยัดพลังงาน หากเราช่วยกันลดภาระนำเข้า อย่างน้อยร้อยละ 10 จากที่เคยใช้ ๆ กันอยู่ เชื่อไหมสามารถลดงินไปได้เกือบ ๆ 3 หมื่นล้านบาทเลยทีเดียว

1. ละเลยไม่ค่อยเช็กลมยาง ทราบไหมว่าลมยางอ่อนกว่ามาตรฐาน ทำให้สิ้นเปลืองแค่ไหน 1 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ทำให้เปลืองน้ำมันเพิ่มอีก 2 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นควรเช็กลมยางสม่ำเสมอ

2. ออกตัวรถกระชาก ใน 10 ครั้งที่คุณออกรถแบบนี้จะเสียน้ำมันไปถึง 100 ซีซี โดยเปล่าประโยชน์น้ำมัน 100 ซีซี สามารถทำให้รถวิ่งได้ประมาณ 700 เมตร

3. จอดรถโดยไม่ดับเครื่องทิ้งไว้ 10 นาที คุณจะเสียน้ำมันฟรี ๆ ไป 200 ซีซี ครั้งต่อไปถ้าต้องจอดรถทำธุระนานเกิน 10 นาที ควรดับเครื่องยนต์

4. ทุกครั้งที่เบิ้ลเครื่องรถยนต์ในขณะอยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง ทราบไหมว่าการเบิ้ลเครื่อง 10 ครั้ง เปลืองน้ำมัน 50 ซีซี ปริมาณ 50 ซีซี รถสามารถวิ่งไปได้อีก 350 เมตร

5. เดินทางเท่าที่จำเป็น ถ้าติดต่อทางโทรศัพท์ได้จงทำ เพราะไม่ใช่แค่ประหยัดเวลา แต่ยังประหยัดน้ำมัน เพราะออกไปรถติด 10 นาที จะทำให้สูญเสียน้ำมัน 250 ซีซี แทนที่จะวิ่งไปได้อีกถึง 2 กิโลเมตรครึ่ง

6. ช่วงหน้าฝนอากาศข้างนอกเย็น หากปิดแอร์ก่อนถึงที่หมาย 2-3 นาที จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ 30 ซีซี และถ้าเดินทางบช่วงเช้าอากาศดีมาก และอยู่ในพื้นที่ที่เหมาะ จะเปิดหน้าต่างรถแทนการเปิดแอร์ ตลอดระยะการเดินทาง 30 นาที จะประหยัดน้ำมันได้ถึง 300 ซีซี

7. เคยสังเกตไหมว่าช่วงหน้าฝน ขณะขับรถเรามักจะแตะเบรกบ่อยกว่าปกติ หากแตะเบรกแล้วรถไม่หยุดในระยะปกติ หรือมีเสียงเบรกเสียดสีจานล้อ จุดนี้ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันได้ถึง 400 ซีซี ซึ่งเป็นจำนวนน้ำมันที่ทำให้รถวิ่งได้อีกถึง 5 กิโลเมตร ฉะนั้นไม่ควรละเลยการเช็กผ้าเบรก

8. การบรรทุกของเกินพิกัด เครื่องยนต์ทำงานหนักก็ทำให้เปลืองน้ำมัน

9. ไปโน่นไปนี่โดยไม่วางแผนเดินทาง แน่นอนว่าความคิดนี้จะเป็นจุดเริ่ต้นที่ทำให้เปลืองน้ำมัน ฉะนั้นควรเดินทางเท่าที่จำเป็น หรือมีการวางแผนเรื่องเส้นทางสักหน่อย
ยังมีอีกหลากหลายวิธีที่จะช่วยคุณประหยัดน้ำมัน ที่สำคัญเลือกเติมน้ำมันให้ถูกประเภท และถ้าในบ้านมีรถหลายคัน เวลาที่จะขับรถออกนอกบ้าน อย่าลืมหันไปถามคนในครอบครัว ไปไหนไปด้วยกัน ใช้ระบบรถร่วมกัน และขับแค่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ดีนักเชียว.

น้ำมันแพง จุดประกายแสวงหาแหล่งพลังงานใหม่

การขับเคลื่อนของเศรษฐกิจโลกในขณะนี้มีความจำเป็นที่ต้องพึ่งพาพลังงานโดยเฉพาะน้ำมันเป็นหลัก ดังนั้นความมั่นคงทางด้านพลังงานและนโยบายพลังงานจึงมีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ โดยเบื้องต้นแล้วความมั่นคงทางด้านพลังงานหมายถึงความสามารถในการจัดหาพลังงานและไฟฟ้าในราคาที่ผู้บริโภคสามารถที่จะซื้อได้และมีปริมาณเพียงพอเพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้อย่างมีเสถียรภาพ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้การแสวงหาแหล่งพลังงานใหม่ๆของประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าพลังงานเป็นภารกิจที่เร่งด่วนโดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจกำลังเติบโต เช่น บราซิล อินเดีย จีน รวมทั้งประเทศไทยด้วย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีความเห็นว่าหลังจากที่ราคาน้ำมันวิ่งขึ้นไปทำสถิติสูงสุดในรอบ21 ปีที่บาร์เรลละ 42.45 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2547 แล้ว ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงอย่างนี้ต่อไป เนื่องจากกำลังการผลิตสำรอง(Spare capacity) ของกลุ่มประเทศส่งออกน้ำมัน หรือ กลุ่มประเทศโอเปกนั้นอยู่ในระดับที่ต่ำมาก จึงทำให้เกิดความกังวลว่าปริมาณการผลิตทั้งหมดของกลุ่มประเทศโอเปกอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการน้ำมันดิบของโลกได้ ทั้งนี้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มประเทศโอเปกยกเว้นอิรัก เมื่อเดือนมิถุนายน 2547 อยู่ที่ 26.86 ล้านบาร์เรลต่อวันซึ่งเกือบจะถึงเพดานสูงสุดของกำลังการผลิตที่ 27.90 ล้านบาร์เรลต่อวัน ด้วยเหตุนี้ประเทศที่พึ่งพาการน้ำเข้าพลังงานโดยเฉพาะจากกลุ่มประเทศโอเปกเป็นหลักจึงมีความพยายามที่จะแสวงหา

ภาษีรถยนต์ใหม่ จะช่วยประหยัดน้ำมันได้มากน้อยแค่ไหน?
ราคาน้ำมัน ทั้งในและต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง ราคาน้ำมันเบนซินในประเทศสูงขึ้นไป 60 สตางค์ต่อลิตร เพราะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไม่สามารถแบกรับภาระการชดเชยราคาน้ำมันได้อีกต่อไป

ขณะเดียวกันราคาน้ำมันในตลาดโลก ก็ดีดตัวขึ้น ทำสถิติสูงสุดในรอบ 21 ปี อีกครั้ง จากหลายสาเหตุ ซึ่งก็มีผลกดดันตลาดในภูมิภาคเอเชียและไทย ซึ่งราคาในบ้านเราก็หลีกเลี่ยงไม่พ้น ที่อาจจะสูงขึ้นอีกครั้ง

ประเด็นที่อยากจะฝากกับท่านผู้ชมอีกครั้ง คือการช่วยกันประหยัดพลังงาน เพราะโค้งอันตราย รู้สึกเหมือนกับว่า คนไทยเริ่มชินชากับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นไปทุกที ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาเท่าไหร่นักกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น

พอราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นทีหนึ่ง ก็จะรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้น กระทุ้งกันครั้งหนึ่ง เดือดร้อนเป็นคราวๆไป ทั้งที่ความเป็นจริง ควรจะตื่นตัวให้ตลอดในการประหยัดน้ำมัน

รัฐบาล รัฐมนตรี ก็น่าจะเป็นตัวอย่างให้เห็นชัดๆว่า พร้อมให้ความร่วมมือในการประหยัดน้ำมันอย่างเต็มที่

แต่ก็ไม่รู้ว่าการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าจะทำให้จำนวนรถยนต์ในประเทศเพิ่มมากขึ้น นั้น จะทำให้การประหยัดน้ำมันได้ผลมากน้อยแค่ไหน?

( จาก โค้งอันตรายทางโมเดิร์นไนน์ โดยทีมข่าวเศรษฐกิจสำนักข่าวไทย 29 ก.ค.47 )

จากคุณ Wit-Tha-Ya เมื่อวันที่ 3 กันยายน 47 เวลา 9:08:03


รูปภาพ (.gif และ .jpg เท่านั้น) :
คำตอบ :
  ชื่อ :

 

Copyright © 2002-3 All Rights Reserved.  King Mongkut's University of Technology Thonburi