เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในวิกฤติราคาน้ำมันแพง
พรหมินทร์ ชี้ไทยแปรวิกฤติราคาน้ำมันเป็นโอกาสของประเทศ เปลี่ยนจากการรับมือราคาน้ำมัน เป็นการรุกหาแหล่งพลังงาน ทั้งพลังงานทดแทน การร่วมเป็นเจ้าของบ่อน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ในต่างประเทศ เดินนโยบายเพิ่มความมั่นคงพลังงาน ดันไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานของภูมิภาค การเพิ่มมูลค่าให้ทรัพยากรพลังงาน รวมทั้งการส่งเสริมการแข่งขันของภาคเอกชน
นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวปาฐกถาเรื่อง เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในวิกฤติราคาน้ำมันแพง ในการประชุมนักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ระดับนานาชาติงาน Thailand Focus 2004 วันที่ 21 กันยายน 2547 ณ โรงแรม โฟร์ซีซั่น โดยได้เน้นย้ำความต่อเนื่องของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ 4 ปีที่ผ่านมา และต่อจากนี้ไปเศรษฐกิจไทยจะเข้มแข็งและยกระดับความสามารถในการแข่งขันโดยมีนโยบายพลังงานเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ ซึ่งได้แก่
การบริหารจัดการความต้องการพลังงานของประเทศเชิงรุก เพื่อให้สอดรับกับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยประมาณ 6-7 % โดยภาครัฐได้บรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันแพง ในระยะสั้นจากการตรึงราคาน้ำมัน เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถปรับตัวอย่างราบรื่นและอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว นอกจากนั้นยังได้แปรวิกฤติให้เป็นโอกาส ของประเทศไทยโดยการเปลี่ยนจากด้านรับเป็นด้านรุก กล่าวคือ ประเทศไทยได้มีการเร่งจัดหาพลังงาน ทั้ง การส่งเสริมพลังงานทดแทนโดยเฉพาะ Biofuels อย่างเป็นรูปธรรม การไปร่วมลงทุนเป็นเจ้าของแหล่งพลังงาน ทั้งสัมปทานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ในต่างประเทศโดยขณะนี้ได้สัมปทานจากพม่า 4 แปลงพื้นที่ 45, 000 ตารางกิโลเมตรและร่วมพัฒนาบางพื้นที่ กับมาเลเซีย รวมถึงร่วมมือขุดเจาะน้ำมันและก๊าซกับตะวันออกกลาง เช่นโอมาน และอิหร่าน นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างเจรจากับรัสเซียและคาซัคสถาน
การสร้างมูลค่าเพิ่มของทรัพยากรพลังงาน โดยเพิ่มคุณค่าให้ก๊าซธรรมชาติในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โ ดยประเทศไทย 90 % ข องก๊าซธรรมชาตินำไปใช้ผลิตไฟฟ้า ส่วนอีก 10 % จะ นำไปใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่ามหาศาลประเทศไทยมีปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองอยู่ 30 ปีคิดเป็นมูลค่า 10 ล้านล้านบาท ( 250 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งร้อยละ 10 สามารถนำไปผลิตปิโตรเคมี และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ก๊าซธรรมชาติได้ 10 ล้านล้านบาท ( 250 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)
นอกจากนี้ปิโตรเคมีของประเทศราคายังได้เปรียบสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ เนื่องจากประเทศไทยปิโตรเคมีได้มาจากผลิตภัณฑ์จากก๊าซธรรมชาติ (Ethane Base) ส่วนต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เป็นต้น ผลิตจากน้ำมัน (Naphtha Base) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นจาก 25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เป็น 35เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลประเทศไทยจะได้เปรียบถึง 30% เมื่อเทียบกับประเทศที่ผลิตปิโตรเคมีจากน้ำมัน เนื่องจากราคาของกาซธรรมชาติจะถูกกว่าแม้จะมีการปรับขึ้นแต่จะมีอัตราที่ต่ำกว่าน้ำมัน
นายพรหมินทร์กล่าวต่อไปว่าปิโตรเคมีไทยได้พัฒนามากว่า 20 ปีซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 ช่วง ช่วงแรก ( ปี 1980-90) มุ่งพัฒนาทดแทนการนำเข้า ช่วงที่2 ( ปี 1991-2003) เปิดเสรีอุตสาหกรรมและยังทดแทนการนำเข้า และในปัจจุบันนับเป็น ช่วงที่3 เข้าสู่ช่วงพัฒนาอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี ให้หลากหลายสอดคล้องกับการพัฒนาอุสาหกรรมของประเทศที่มุ่งเน้นอุตสาหกรรมเสื้อผ้า รถยนต์ อิเล็กโทรนิค และบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น และส่งออกเพื่อรับเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศ สำหรับการพัฒนาในช่วงที่ 3 นี้เอกชนจะเป็นหลักในการลงทุน ซึ่งประมาณการในเบื้องต้นต้องการเงินลงทุนประมาณ 400 พันล้านบาท
การทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานด้วยโครงการ Land Bridge โครงการนี้เป็นการใช้จุดแข็งทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยให้เป็นประโยชน์ โดยต้องการการลงทุนในท่อน้ำมัน 230 กิโลเมตร ถังเก็บน้ำมัน 2 ฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย ทั้งนี้เพื่อเป็นท่อเป็นทางเลือกในการขนส่ง น้ำมันที่ต้องผ่านอ่าวมะละกาที่นับวันจะหนาแน่นและเสี่ยงภัยจากอุบัติเหตุและเพื่อความมั่นคงของประเทศ มูลค่าการลงทุนประมาณ 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับประเทศจีนและเกาหลีใต้
การส่งเสริมการแข่งขัน เชื่อมั่นกลไกตลาดและภาคเอกชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รัฐบาลจะดำเนิน นโยบายในเชิงรุกและผลักดันภาคเอกชนให้สามารถพัฒนาสาขาพลังงานให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจะสนับสนุนและเป็นผู้นำในการหาพันธมิตรต่างประเทศเพื่อ ให้ประเทศมีความมั่นคงด้านพลังงาน และส่งเสริมศักยภาพในการแข่งขัน ทั้งนี้ ภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญ ฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง จะเป็นผู้รับภาระความเสี่ยงและการลงทุน อย่างไรก็ตาม มีหลายเหตุผลที่รัฐบาลต้องดูแลพลังงานอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชน และการเพิ่มประสิทธิภาพของเศรษฐกิจต้องการกฎระเบียบที่ออกโดยภาครัฐ รวมทั้งรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ยังมีบทบาทที่สำคัญในภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้การเพิ่มบทบาทภาคเอกชนและพัฒนารัฐวิสาหกิจสาขาที่สำคัญยังเป็นโยบายสำคัญของรัฐบาล อย่างไรก็ตามนโยบายรัฐจะต้องสอดรับกับสิทธิผู้ถือหุ้นและผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อย
นายพรหมินทร์กล่าวต่อไปว่า ความต้องการเงินจากภาคเอกชนยังมีความสำคัญ เนื่องจากประเทศมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเพื่อขับดันเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญเติบโต จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตที่ 2 6,000 เมกะวัตต์ โดยในอนาคต 10ปี ประเทศต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น 15,000 เมกะวัตต์ หรือ 1,500 เมกะวัตต์ต่อปี ซึ่งต้องการเงินลงทุน 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือ60,000 ล้านบาท/ปี โดย 4 ที่ผ่านมารัฐได้ระดมเงินจากภาคเอกชนเพื่อการลงทุนในสาขาพลังงานจำนวน 5 แสนล้านบาท หรือ 12% ของมูลค่าตลาดหลักทรัพย์ ขณะนี้โรงกลั่นน้ำมันบางแห่งอยู่ในขบวนการที่จะระดมเงินในตลาดหลักทรัพย์และยังมีอีกหลายแห่งที่จะตามมา.
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวง |
จากคุณ Wit-Tha-Ya
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 47
เวลา 23:38:36
|
|
|