ยิ่งราคาน้ำมันพุ่งสูง ยิ่งขาดดุลการค้าสูงขึ้น
ภาวะราคาน้ำม้นที่พุ่งสูงขึ้น นอกจากส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายของคนไทยที่ต้องเพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังส่งผลไปถึงการค้าขายระหว่างประเทศอีกด้วย เพราะจำนวนเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มเพื่อนำเข้าน้ำมัน ได้ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้า หลังจากที่เกินดุลติดต่อกันมา 3 เดือน
จากข้อมูลสรุปการค้าระหว่างประเทศของไทยในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคมปี 47 พบว่าปริมาณการนำเข้าของไทยในเดือนสิงหาคมมีมูลค่าถึง 348,221.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.3% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว ขณะที่ปริมาณการส่งออกของไทย มีมูลค่า 336,972 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว 24.8% โดยมูลค่าการค้าระหว่างประเทศของไทยในช่วงครึ่งปีแรกเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 เพิ่มขึ้นประมาณ 25% มูลค่าการส่งออกยังสูงกว่านำเข้าอยู่ ทำให้ไทยได้เปรียบดุลการค้าเป็นมูลค่า 26,000 ล้านบาท และปี 2547 นี้ ไทยได้ตั้งเป้าหมายของการส่งออกให้เพิ่มสูงขึ้นจากปี 46 อีก 15% หรือคิดเป็นมูลค่า 3.8 ล้านล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ไทยสามารถส่งออกได้ 1.9 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 50% ของเป้าหมายการส่งออกได้แล้ว แต่ด้วยแรงกดดันของราคาน้ำมันตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้มูลค่าการนำเข้าของไทยในเดือนสิงหาคมมีปริมาณสูงกว่ามูลค่าการส่งออก โดยปริมาณการนำเข้าของไทยในช่วง 8 เดือนแรกเพิ่มจากปีที่แล้ว 30.4 % และมีสินค้าที่มีปริมาณนำเข้าสูงเป็นอันดับ 1 ก็คือสินค้าเชื้อเพลิง มีมูลค่าการนำเข้าสูงถึง 350,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 48% รองลงมาคือสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สินค้าทุนและสินค้ายานพาหนะนำเข้า
สำหรับสินค้าที่มีปริมาณการส่งออกจากไทยไปขายในตลาดโลกมากขึ้นนั้นจะเป็นสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเพิ่มขึ้นประมาณ 13% ได้แก่ข้าวและมันสำปะหลัง โดยสินค้าที่มีการขยายตัวมากก็คือข้าว เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 64% ขณะที่สินค้าหมวดอาหารมีมูลค่าลดลงประมาณ 2.5% ไม่ว่าจะเป็นไก่สดแช่เย็น แช่แข็ง แปรรูป หรือสินค้ากุ้ง เนื่องจากปัญหาโรคไข้หวัดนกและการตอบโต้การทุ่มตลาดกุ้งในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ได้มีการคาดการณ์ว่า ถึงสิ้นปีนี้ไทยจะเกินดุลการค้าอยู่ที่ประมาณ 1,300-1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณกว่า 50,000 ล้านบาท ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้หรือไม่
ที่มา...สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน |
จากคุณ Wit-Tha-Ya
เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 47
เวลา 0:04:34
|
|
|