1.หันบ้านให้ถูกทาง
"อยู่เย็นเป็นสุข"
"ร่มรื่น ร่มเย็น" "โล่ง โปร่ง
สบาย"
สภาพแวดล้อมรอบๆบ้านมีส่วนช่วยทำให้เย็นสบาย
เช่น มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ไม่กีดขวางทางลม
ฯลฯ การวางตำแหน่ง
ของบ้านที่ดี จะทำใหบ้าน้รับประโยชน์จากธรรมชาติได้มากที่สุด
ถือเป็นการเริ่มต้นช่วยให้การใช้พลังงานในบ้านน้อยลง
ดวงอาทิตย์อ้อมใต้
ความร้อนที่เกิดในบ้าน
ส่วนใหญ่จะเกิดจากดวงอาทิตย์ การจะลดความร้อนจากดวงอาทิตย์ ก็ต้องป้องกันแสงแดดไม่ให้ส่อง
เข้าบ้าน สำหรับประเทศไทย ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นทางด้านทิศตะวันออก
จะมีการเคลื่อนตัวไปทิศใต้ จนไปตกทางด้านทิศตะวันตก
เป็นเวลา
8 - 9 เดือน และเดือนธันวาคมก็เป็นช่วงเดือนที่ดวงอาทิตย์อ้อมไป
ทางทิศใต้มากที่สุดและมีมุมแดดต่ำที่สุดด้วย
ช่วงเดือนที่เหลืออีก
ประมาณ 3 - 4 เดือน (พฤษภาคม - กรกฎาคม)
นั้น ดวงอาทิตย์จะ
เคลื่อนที่อ้อมผ่านทิศเหนือโดยมีมุมแดดค่อนข้างสูง
ฉะนั้น ด้านทิศ
เหนือสำหรับบ้านเรา จึงเป็นทิศที่แสงธรรมชาติค่อนข้างดี
ดังนั้นการวางตำแหน่งของบ้านก็อาจใช้หลัก
"เปิดรับ
แสงเหนือ" "กันแดดด้านตะวันตกและใต้"
|
|
ลมเหนือและลมใต้
ลมประจำที่พัดผ่านประเทศของเรา
เป็นลมที่มีทิศทางค่อนข้างชัดเจนเนื่องจากเป็นลมมรสุม
(คล้ายลมบก ลม-
ทะเล แต่พัดเป็นบริเวณกว้าง และพัดเป็นเวลานานๆ)
มีอยู่ 2 ชนิด คือ ลมมรสุมฤดูร้อนที่พัดมาจากทิศใต้และทิศตะวันตก
เฉียงใต้ในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนตุลาคม และลมมรสุมฤดูหนาวที่พัดมาจากทิศเหนือและตะวันออก-
เฉียงเหนือในช่วงประมาณเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ แปลว่าการจะสร้างบ้าน
หรือจัดวางบ้านให้ได้รับลมประจำก็
ต้องพยามให้มีช่องลมทางด้านทิศเหนือและทิศใต้
ทั้ง 2 ด้าน สำหรับบ้านในเมืองก็พยามเลือกด้านที่แสงแดดเข้าน้อยที่สุด |
|
2.กางร่มให้บ้าน
หลายๆบ้านไม่สามารถหันหน้าหลบแดดได้
เนื่องจากปลูกสร้างมานาน ก็อาจใช้แนวคิด "กางร่มให้บ้าน"
เพื่อให้ตัว
บ้านเช่น ผนัง หลังคา ช่องหน้าต่างถูกแดดน้อยที่สุด
เมื่อความร้อนเข้าบ้านน้อย ค่าไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศก็น้อยลงด้วย
ต้นไม้สุดยอดร่มเงา
วิธีง่ายๆและให้ประโยชน์มากที่สุดของการกางร่มให้
บ้าน คือการปลูกต้นไม้บริเวณรอบๆบ้าน
นอกจากความสดชื่นและ อากาศบริสุทธ์ที่ได้รับจากต้นไม้
หลายท่านคงพอทราบว่าต้นไม้ช่วย
ลดความร้อนได้ด้วย โดยจะดูดน้ำออกมาจากพื้นดิน
และระเหยเป็น
ไอน้ำผ่านทางปากใบ ทำให้อากาศโดยรอบเย็นลง
เชื่อหรือไม่ว่า
ต้นไม้ขนาดใหญ่ สามารถให้ความเย็น
เท่ากับเครื่องปรับอากาศขนาด 1 ตันเลยทีเดียว
ดังนั้นทุกครั้งที่เราปลูกต้นไม้บริเวณบ้าน
เรากำลัง
ได้ประโยชน์จากธรรมชาติ 4 ประการด้วยกันคือ
"ให้ร่มเงา"
"สร้างอากาศบริสุทธ์" "ทำความเย็น"
และช่วยประหยัดพลังงาน" ให้
กับบ้านเราไปพร้อมๆกัน
|
|
ติดกันสาดให้บ้าน
การติดตั้งกันสาดหรือแผงกันแดดเป็นการป้องกัน
ความร้อนและแสงแดดไม่ให้ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาเป็นความร้อน
สะสมอยู่ในบ้าน การติดตั้งกันสาดที่ดีต้องเป็นกันสาดที่กันไม่ให้แสง
แดดส่องเข้ามาในบ้านได้เกือบทั้งหมด แต่อย่าติดมากจนทำให้ภาย
ในบ้านมืดจนต้องเปิดไฟในเวลากลางวัน |
|
|
3.อย่าใส่แหล่งความร้อน
บริเวณที่ว่างรอบตัวบ้าน
หลายๆบ้านทำเป็นลานคอนกรีตจอดรถอยู่กลางแสงแดดตลอดเวลา
พื้นที่พวกนี้จะเป็นตัว
ดูดความร้อนและอมความร้อนได้ดี เป็น "แหล่งผลิตความร้อน
หรือ มวลความร้อน" จึงควรมีพื้นที่แบบนี้ให้น้อยที่สุด
การแก้ไขกรณีดังกล่าว
ก็เช่น การใช้บล็อคสนาม (หญ้าสามารถขึ้นได้)
แทน ไม่เช่นนั้นก็ "กางร่มให้ลานคอนกรีต"
ปูฉนวนให้พื้นดิน
การปลูกหญ้า
ไม้คลุมดินโดยรอบบ้าน นอกจากเป็น
ฉนวนกันความร้อนแล้ว ยังเป็นตัวป้องกันฝุ่นอีกด้วย
ทั้งยังเป็นการ
สร้างความร่มรื่น สบายตา ลดการสะท้อนแสง
ฯลฯ ย่อมดียิ่งนัก |
|
|
4.ยอมให้ลมพัดผ่าน
ทุกครั้งที่มีลมพัดผ่านตัวเรา
เราจะรู้สึกเย็นสบาย ถ้าบ้านเรามีลม(เย็น) ผ่านเข้าบ้าง
บ้านเราก็อาจไม่จำเป็นต้องเปิด
เครื่องปรับอากาศ หรือเปิดเพียงแต่น้อย ทิศทางลมหลักๆคือลมหน้าร้อนพัดมาจากทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้
ลมหน้าหนาว
พัดมาจากทิศเหนือและทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หากวางบ้านหรือช่องหน้าต่างทางทิศทางนี้ก็จะมีโอกาสรับลม
แต่ทางที่ดีควรอย่าให้มีเฟอร์นิเจอร์และสิ่งของอื่นมาขวางทางลมเข้าออก
และควรมีช่องลม 2 ด้านอยู่ตรงข้ามกัน
หากไม่มีก็อาจใช้พัดลมช่วยได้ ซึ่งเจ้าพัดลมนี้กินไฟน้อยกว่าเครื่องปรับอากาศเยอะเลย..
|
5.เปิดบ้านรับแสงธรรมชาติที่ดี
การที่แต่ละห้องมีช่องแสงหรือหน้าต่างให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาได้
ประโยชน์ที่เห็นชัดที่สุดคือเราไม่ต้องเสียค่า
ไฟฟ้าที่จะเปิดโคมไฟในเวลากลางวัน ซึ่งช่องทางที่ดีนั้น
คือทิศเหนือ ซึ่งดวงอาทิตย์จะอ้อมมาทิศเหนือเพียง
3 เดือนเท่านั้น
ดังนั้นถ้าเปิดหน้าต่างภายในห้องก็จะได้รับแสงสว่างจากธรรมชาติที่ดี
หรือแสงด้านทิศตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือ
ช่วงบ่าย
จะไม่โดนแดด ก็จัดได้ว่ารับแสงธรรมชาติที่ดีเช่นกัน
|
6.ปรับที่และปรับตัว
เชื่อว่าที่บ้านของทุกคนจะมีบริเวณที่สบายที่สุดในแต่ละเวลา
เมื่อรู้ว่าเป็นบริเวณใดแล้วก็ลองปรับตัวของเราเข้าหา
เช่น จัดให้บริเวณนั้นมีเก้าอี้นั่งพัก นั่งเล่น
หรือทำงานเล็กๆน้อยๆ แค่นี้ก็ทำให้บ้านเรา "เป็นบ้านที่สบาย
ประหยัดพลังงาน"
|
7.ติดตั้งฉนวนป้องกันความร้อน
เมื่อทำตามขั้นตอนข้างต้นทั้งหมดแล้วบ้านยังร้อนอยู่อีก ก็อาจจำเป็นต้องใช้วัสดุเพื่อกันความร้อน ที่เรียกว่า
"ฉนวนกันความร้อน" เพื่อป้องกันความร้อนไม่ให้เข้ามาในบ้าน
วัสดุพวกนี้มีหลายชนิดและประเภท สามารถเลือกใช้ได้ตาม
ความต้องการ
สำหรับห้องที่มีการปรับอากาศ
(ห้องที่ติดแอร์)
- หากมีงบประมาณเพียงพอ
ควรติดฉนวนทั้งที่ผนังและหลังคา (ฝ้าเพดาน)ของทุกห้องที่มีการปรับอากาศ
จะทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานไม่หนัก
เนื่องจากจะสู้รบกับความร้อนภายในบ้านเท่านั้น
- หากมีงบประมาณปานกลาง
ควรติดฉนวนที่หลังคา แล้วเลือกติดผนังด้านที่ร้อนที่สุดอีก
1 - 2 ด้าน
- หากมีงบประมาณน้อย
เลือกติดที่หลังคา ก็พอจะช่วยประหยัดพลังงานได้
เพราะหลังคาคือส่วนที่ร้อนที่สุด
|
สำหรับห้องหรือบ้านที่ไม่มีการปรับอากาศ
- แนะนำเป็นอย่างยิ่งควรหางบประมาณสำหรับติดตั้งฉนวนบนหลังคาชั้นบนสุด
เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้าเพดานร้อนและแผ่ความร้อนมาหาเรา
- หากมีงบประมาณเพียงพอ
อาจเลือกติดที่ผนังด้านที่ค่อนข้างร้อนเพิ่มเติม
- อย่าเผลอติดฉนวนบ้านที่ไม่มีการปรับอากาศจนเต็มบ้าน
เพราะฉนวนนั้นจะป้องกันไม่ให้ความร้อนออกไปจาก
บ้านด้วย
|
|
8.เรื่องน่ารู้ก่อนใช้ไฟฟ้า
วัตต์ (WATT) ที่เห็นเขียนอยู่บนเครื่องไฟฟ้านั้นบอกอะไร
วัตต์
(WATT) หรือตัว W ทีมักเขียนอยู่ตามหลอดไฟ
พัดลม หรือเครื่องปรับอากาศฯลฯ คืออัตรากำลังการ
ใช้ไฟฟ้า (Power Rating) ของเครื่องใช้ไฟฟ้า
พูดง่ายๆก็คือ หน่วยของไฟฟ้าที่บอกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าของเรานั้นกินไฟเท่า-
ไรเวลาเปิดใช้งาน เช่น หลอดไฟที่เขียนว่า
36 W หมายความว่าหากเปิดหลอดตัวนี้มันจะกินไฟ
36 วัตต์ต่อหนึ่งชั่วโมง
หากวัตต์มาก เครื่องใช้ไฟฟ้านั้นก็จะใช้พลังงานมากด้วย |
การใช้พลังงานไฟฟ้าในบ้าน
พลังงานที่ใช้ส่วนใหญ่ในบ้านพักอาศัยเป็นพลังงานไฟฟ้า
แยกได้ 3 ส่วนหลักๆคือ
1.
ไฟฟ้าสำหรับปรับอากาศ
2.
ไฟฟ้าที่ให้แสงสว่าง
3.
ไฟฟ้าสำหรับใช้กับอุปกรณ์ต่างๆ |
บำรุงรักษา คือหัวใจของการใช้อุปกรณ์
ไม่ว่าจะเลือกอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ดี
ประหยัดไฟเพียงใด หากไม่มีการดูแลรักษาหรือวางไว้ในที่ไม่เหมาะสม
อุปกรณ์ที่ดีก็อาจเป็นตัวร้ายกินไฟก็ได้
สิ่งต่างๆเหล่านี้อาจทำให้ตู้เย็นเบอร์
5 เหลือเป็นเบอร์ 1 ได้ทันที |
|
9.ลดปัญหาการใช้ไฟฟ้า
หรือ กลยุทธ์ลดค่าไฟ
เอาของร้อนและชื้นออกไปจากห้องแอร์
เชื่อหรือไม่ว่าเครื่องปรับอากาศใช้ทำความเย็นแค่
30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีก 70 เปอร์เซ็นต์ใช้ใน
การ "ทำให้อากาศแห้ง" ในห้อง
หากเราไม่อยากให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนัก
ก็ไม่ควรนำของร้อน หรือของชื้นเข้าไป
ในห้องที่มีการปรับอากาศ |
ปิดแอร์อย่าเปิดประตูหน้าต่างทันที
คงมีหลายคนที่ตื่นเช้าออกจากห้องนอนแล้วเปิดหน้าต่างทันที
การทำเช่นนั้นอาจทำให้เครื่องปรับ
อากาศทำงานหนักขึ้นเมื่อเข้ามาเปิดครั้งต่อไป
ทั้งนี้เนื่องจากอากาศข้างนอกเข้ามาจะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ
และสะสมอยู่
ตามผ้าห่ม ผ้าม่าน
ข้อแนะนำคือ
หลังจากปิดเครื่องปรับอากาศไม่ควรเปิดประตูหน้าต่างทันที
ปล่อยให้อากาศปรับกัน
เองดีกว่า เผลอๆอาจลดฝุ่นละอองเข้ามาในห้องได้อีก |
25 องศา ตัวเลขเย็นกำลังดี
เมื่อได้ป้องกันความร้อนในบ้านให้เป็นอย่างดีแล้ว
ควรตั้งอุณหภูมิห้องไว้ที่ 25 องศา ก็เพียงพอที่
จะทำให้อากาศในห้องนั้นเย็นสบายแล้ว ดังนั้นควรท่องจำไว้ว่า
"25 องศา ใส่เสื้อผ้าเบาบาง ประหยัดสตางค์ค่าไฟ" |
เปิดพัดลมช่วยกันดีกว่า
ห้องปรับอากาศที่มีขนาดใหญ่
เรามักใช้วิธีเร่งลมที่เป่าออกมา ไม่ก็ปรับอุณหภูมิให้ต่ำลง
จะได้เย็น
ทั่วทั้งห้อง การทำเช่นนั้นจะเป็นการทำให้เครื่องปรับอากาศกินไฟมากขึ้น
ลองนำพัดลมมาตั้งซักตัว เปิดลมให้แรงหน่อย
แม้จะเสียค่าไฟเปิดพัดลม 1 ตัว แต่ยังเสียน้อยกว่าลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศเยอะเลย |
ทำกิจกรรมในบ้านพร้อมกัน
บ้านที่อยู่กันหลายคน
ควรพยามทำกิจกรรมพร้อมๆกัน เช่นการกินข้าวในแต่ละมื้อ
ก็ช่วยลดค่าไฟ
ของไมโครเวฟ หรือค่าก๊าซหุงต้มจากการอุ่นอาหาร
จะเห็นได้ว่าทุกคนในบ้านมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการลดพลังงานและ
ค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือน |
ทีวี อย่าได้มีไว้กล่อมนอน
มีบางคนที่รอเฝ้าดูรายการโทรทัศน์
รายการโปรดช่วงดึก แล้วเผลอหลับไป เชื่อหรือไม่ว่าแต่ละ
วันที่เผลอไปนั้น เสียค่าไฟให้โทรทัศน์ที่ไม่ได้ดูเกือบ
3 บาทต่อวัน หากเผลอเช่นนี้ทุกวันทั้งเดือน
ก็ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นไม่
น้อยกว่า 65 บาทแน่นอน
รู้อย่างนี้แล้วอย่าปล่อยให้โทรทัศน์กล่อมเรานอนเลยดีกว่า
|
|
10.ประหยัดสตางค์ของเรา
หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้อาจไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรหากเป็นบ้านที่ปลูกมานานแล้ว
คงเป็นไปได้ยาก
ที่จะให้รื้อบ้านที่มีแล้วทิ้งไปเพื่อสร้างบ้านใหม่
และเพื่อให้ประหยัดพลังงานแนวคิดข้อสุดท้ายนี้
จะเป็นการชี้แนะแนวทาง แบ่งได้
เป็น 4 ระดับดังนี้
|